บุญกุศล ที่เราทำไว้อย่างดีแล้ว คือสิ่งที่เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ซึ่งจะเป็นเครื่องสนับสนุนให้เราได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิต เราจะเข้าถึงความเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี จะเข้าถึงความเป็นพระราชาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ก็ล้วนแต่ต้องอาศัยบุญ แม้กระทั่งจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ก็เพราะบุญเหมือนกัน เพราะฉะนั้น บุญจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราได้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต
มีวาระพระบาลี ที่ปรากฏในทักขิณาวิสุทธิกถาว่า
“ทักษิณา ที่บริสุทธิ์ทั้งทางฝ่ายทายกและปฏิคคาหกเป็นอย่างไร ทายกในโลกนี้เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ปฏิคคาหกก็เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ทักษิณาบริสุทธิ์ทั้งทางฝ่ายทายกและปฏิคคาหกเป็นอย่างนี้แล”
การถวายทานที่จะให้ผลมากนั้น เป็นสิ่งที่บัณฑิตผู้รู้ทั้งหลายต่างพิจารณา และแสวงหากันมาก เพราะเมื่อทำแล้วจะบังเกิดผลคุ้มกับที่ลงทุนลงแรงไป เหมือนชาวนาผู้ฉลาด คัดสรรพืชพันธุ์ที่ดีแล้วหว่านลงในนาดี ฉันใด เมื่อเราจะ ทำทานก็ ต้องพิจารณาเลือกสรรผู้รับ ซึ่งก็คือปฏิคาหก ฉันนั้น การทำทานเพื่อขจัดความตระหนี่ให้หมดไปจากใจ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการทำทาน ถ้าเราได้เลือกทำทานอย่างดีแล้ว จะทำให้เราทุ่นระยะเวลาในการสร้าง บารมี และสามารถสร้างบารมีอื่นได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น
* เรื่องการถวายอสทิสทานของพระเจ้าปเสนทิโกศลแด่ภิกษุสงฆ์มี พระพุทธเจ้าเป็น ประมุขตลอด ๗ วัน นั้นเป็นที่เลื่องลือปรากฏไปทั่วชมพูทวีป ทำให้มหาชนในสมัยนั้นต่างยกเรื่องนี้ มาสนทนากันในที่ต่างๆ ว่า ทานจักมีผลมากก็ด้วยการ บริจาคสมบัติมากมายอย่างนี้ หรือว่าจะมีผลมากก็ต่อเมื่อบริจาคทานพอสมควรแก่ทรัพย์สมบัติของตน
ภิกษุทั้งหลายฟังคำนั้นแล้ว ก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทานมิใช่จักมีผลมาก ด้วยการถึงพร้อมแห่งไทยธรรมอย่างเดียว ที่แท้ทานจักมีผลมาก ก็ด้วยความถึงพร้อมแห่งจิตที่เลื่อมใส และความถึงพร้อมแห่งทักขิไณยบุคคล เพราะฉะนั้น ทานวัตถุเพียงข้าวสักทัพพีหนึ่งก็ดี เพียงผ้าเก่าผืนหนึ่งก็ดี เพียงเครื่องลาดทำด้วยหญ้าก็ดี เมื่อบุคคลมีจิตเลื่อมใสแล้ว ตั้งไว้ในทักขิไณยบุคคล ทานนั้นก็จักมีผลมากรุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมาก ดังนี้”
แม้ ท้าวสักกะราชา แห่งเทพก็ได้ตรัสเป็นคาถาไว้ว่า “เมื่อจิตเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทักษิณาไม่ชื่อว่ามีผลน้อยเลย” ถ้อยคำนี้ได้แพร่ไปทั่วชมพูทวีป มนุษย์ทั้งหลาย พากัน ให้ทานตามสมควรแก่อัตภาพของตน แก่สมณพราหมณ์ วณิพกและยาจกทั้งหลาย ได้ตั้งน้ำดื่มไว้ที่ลานบ้าน ปูอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู
สมัยนั้น พระเถระผู้ถือปิณฑปาติก ธุดงค์เป็นวัตรรูปหนึ่ง มีอากัปกิริยาที่สงบสำรวมน่าเลื่อมใส ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ ได้ บิณฑบาตมาถึงเรือนหลังหนึ่ง เรือนหลังนั้น มีกุลธิดาผู้หนึ่ง ถึงพร้อมด้วย ศรัทธา เห็นพระเถระ ก็เกิดความเคารพนับถือมาก จึงนิมนต์ให้ท่านเข้าไปยังเรือน ได้ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ จัดตั่งของตน ปูผ้าเนื้อเกลี้ยงสีเหลืองบนตั่งนั้นถวาย เมื่อพระเถระนั่งอยู่บนตั่งนั้นแล้ว นางคิดว่า “บุญเขตสูงสุดนี้ปรากฏแก่เราแล้ว” นางมีจิตเลื่อมใสบำรุงด้วยอาหารตามสมควรแก่ทรัพย์สมบัติ แล้วได้ถวายพัดอีกด้วย เมื่อพระเถระฉันเสร็จก็กล่าวอนุโมทนาในความเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสของนาง กุลธิดาได้พิจารณาถึงทานของตนและธรรมิกถานั้น เกิดความปีติ แผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง นางจึงได้ถวายตั่งนั้นแด่พระเถระ
เมื่อนางละโลก ได้ไปบังเกิดในวิมานทองขนาด ๑๒ โยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเทพอัปสร ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร ด้วยอำนาจที่นางได้ถวายตั่งเป็นทาน จึงเกิดบัลลังก์ทองลอยไปในอากาศ ชั้นบนมีราชรถทรวดทรงดังเรือนยอด วิมานนี้จึงเรียกว่า ปีฐวิมาน ส่องแสงสีทองเพราะนางได้ปูลาดด้วยผ้าสีทอง สามารถแล่นไปได้รวดเร็วก็เพราะกำลังแห่งปีติอันแรงกล้าของนางที่ได้ถวายทาน และไปได้ตามใจปรารถนาก็เพราะนางได้ถวายแด่ทักขิไณยบุคคลโดยจิตอันที่ตั้งไว้ ชอบ นางประกอบด้วยความงดงามน่าเลื่อมใสก็เพราะความเลื่อมใสที่นางตั้งไว้ดีแล้ว
ต่อมาในวันมหรสพวันหนึ่ง เหล่าเทวดาทั้ง หลายพากันไปสวนนันทวัน และเล่นกรีฑาในอุทยาน ด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์ของตน เทพธิดาได้ประดับด้วยอาภรณ์มีนางอัปสร ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร ออกจากภพของตนขึ้นสู่วิมานตั่งทอง ส่องแสงสว่างไสวไปสู่อุทยาน ขณะเดียวกันนั้นเอง พระมหาโมคคัลลานะได้เที่ยวจาริกไปในเทวโลก เมื่อเทพธิดาองค์นั้นเห็นท่านเข้า ก็เกิดความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า รีบลงจากบัลลังก์เข้าไปหาพระเถระ กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วยืนนมัสการประคองอัญชลีด้วยความเคารพยิ่ง
ที่จริงพระเถระ ท่านทราบชัดถึงกุศลและอกุศลตามที่เทวดาองค์นั้นและสัตว์เหล่าอื่นสั่งสมไว้ แล้ว โดยอานุภาพแห่งยถากัมมูปคญาณ คือญาณที่รู้ถึงกรรมของสัตว์ทั้งหลายที่เข้าถึงภพนั้นๆ ตามกรรมของตน เหมือนผลมะขามป้อมที่วางไว้บนฝ่ามือ แต่เพราะเทวดาที่ได้เกิดมาบนสรวงสวรรค์ ได้เห็นทิพยสมบัติอันน่าปลื้มใจแล้ว ก็จะทบทวนถึงผลกรรมที่ตนได้สั่งสมไว้ในภพอดีตว่า “เราจุติจากไหนหนอ จึงอุบัติในภพนี้ เราทำกุศลกรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้” และญาณนั้นย่อมเกิดแก่เทวดานั้นตามเป็นจริง ฉะนั้น พระเถระประสงค์จะให้เทวดาองค์นั้นกล่าวถึงกรรมที่ทำไว้แล้วให้ประจักษ์แก่ ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก จึงถามว่า
“ดูก่อนเทพธิดาผู้ประดับองค์ ทรงมาลัยดอกไม้ ทรงพัสตราภรณ์สวยงาม วิมานตั่งทองของท่านโอฬารรวดเร็วดังใจ ไปได้ตามปรารถนา ท่านส่องแสงประกายดังสายฟ้าแลบลอดกลีบเมฆ เพราะบุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ท่าน ดูก่อนเทพี ผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ครั้งที่ท่านเกิดเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ”
เทวดานั้นดีใจมาก จึงได้เล่าถึงกรรมดีที่ตนได้ทำไว้ ด้วยความปีติเบิกบานเป็นอย่างยิ่งว่า “ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ดิฉันได้ถวายอาสนะแด่เหล่าภิกษุที่มาถึงเรือน ได้กราบไหว้ได้ทำอัญชลี และได้ถวายทานตามกำลัง เพราะบุญนั้น วรรณะของดิฉันจึงเป็นเช่นนี้ และเพราะบุญนั้นโภคสมบัติทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดิฉัน ดิฉันมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดิฉันสว่างไสวไปทุกทิศเพราะอานุภาพแห่งบุญ”
เราจะเห็นว่า เมื่อมีจิตศรัทธาเลื่อมใส และถวายทานด้วยความเคารพแล้ว ถึงไทยธรรมจะมากหรือน้อยนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อเราทำอย่างเต็มที่เต็มกำลัง ด้วยความปีติเบิกบานใจ ทั้งก่อนให้ก็เลื่อมใส ขณะให้ก็ปีติเบิกบานใจ หลังจากให้ก็มีความยินดีไม่เกิดความตระหนี่เสียดาย เจตนาบริสุทธิ์เป็นเหตุให้ทานสมบูรณ์พร้อม และยิ่งเราได้พระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นสาวกของพระบรมศาสดาผู้เป็นเนื้อนาบุญอัน ประเสริฐ ก็ให้เรารีบขวยขวายทำกันให้เต็มที่ ให้รีบชิงช่วงก่อนที่จะถูกอกุศลช่วงชิง ก่อนที่พญามารจะช่วงชิงทั้งเวลาโอกาส มหาสมบัติ จนกระทั่งชีวิตของเราไป ให้เราทำกันจนกระทั่งเต็มอิ่มเต็มใจ มีมหาสมบัติอัศจรรย์ทันใช้เกิดขึ้นเหมือนท่านโชติกเศรษฐี หรือจนกระทั่งสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่องบังเกิดขึ้น เมื่อนั้นเราจะได้ใช้เวลาทั้งชีวิตแสวงหา ธรรมะอันประเสริฐ คือการ ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยกันอย่างสะดวกสบาย ไร้ความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น
|