การสวดภาวนาประจำวัน หรือสวดก่อนออกจากบ้าน ก่อนเดินทางไกล ให้สวดดังนี้
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (3 จบ)
คำแปลคาถาหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
“ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่เจ้าประคุณสมเด็จหลวงปู่ทวด ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้มีโชค ซึ่งเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของข้าพเจ้านี้”
ให้บูชาหลวงปู่ทวดด้วย
1.ธูปแขก (ธูปสีดำ) 9 ดอก
2.มะลิขาว 9 ดอก
แล้วสวดพระคาถาพร้อมแผ่เมตตาดังนี้
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา (3 จบ)
เประมัง ธัมมัง สังฆัง
ปุระมัง ธัมมัง สังฆัง
ปรมัง ธัมมัง สังฆัง
เสสัง ธัมมัง สังฆัง
กริยานัง อัตโน โหตุ (3-11 จบ)
สัตว์ทั้งหลาย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
จงไปสู่ภพภูมิที่ดีที่ชอบเถิด
ประวัติของหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด หรือสมเด็จพะโคะ
หลวงปู่ทวด หรือ สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ เป็นพระเกจิผู้ทรงอภิญญษที่ชาวไทยรู้จักกันมานานจากรุ่นสู่รุ่น โดยรู้จักท่านในนามอื่นๆ ด้วยอีกมากมาย เช่น
สมเด็จเจ้าพะโคะ
หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
หลวงปู่ทวดวัดช้างให้
ท่านองค์ดำ
ท่านลังกา
ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีชีวิตอยู่จริงในสมัยอยุธยา ประวัติเกี่ยวกับท่านอาจแตกต่างกันไปตามการเล่าขานของแต่ละท้องถิ่น และอาจมีการผิดเพี้ยนไปบ้างเมื่อผ่านกาลเวลาแต่ละยุคสมัย แต่ส่วนใหญ่แล้วคล้ายคลึงกัน ดังต่อไปนี้
กำเนิดหลวงปู่ทวด
หลวงปู่ทวดนามเดิมว่า ปู ท่านเกิดในรัชกาลของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช (บางแหล่งข้อมูลก็ระบุว่าเป็นรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ) เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ชาวบ้านวัดเลียบ ตำบลดีหลวง อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา ทั้งสองเป็นทาสในเรือนเบี้ยของเศรษฐีปาน
เมื่อเด็กชายปูกำลังจะคลอดจากครรภ์มารดา ก็บังเกิดเหตุอัศจรรย์คือ เกิดฟ้าร้องฟ้าผ่ากึกก้องจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น ราวกับเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่านี่คือผู้มีบุญญาธิการมาเกิด เมื่อคลอดแล้ว บิดาของท่านก็ตัดสายสะดือแล้วนำไปฝังไว้ที่โคนต้นเลียบ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ต้นเลียบในปัจจุบัน
เรื่องอัศจรรย์ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว มารดาของท่านได้ผูกเปลให้เด็กชายปูในวัยแบเบาะนอนอยู่ใต้ต้นมะเม่าแล้วออกไปเกี่ยวข้าวในทุ่งนาในบริเวณใกล้ๆ กัน เมื่อถึงเวลาให้นมก็เดินกลับมาที่เปลแล้วก็ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นงูบองหลา (งูจงอางตัวใหญ่) พันอยู่รอบเปล จึงได้ร้องตะโกนเรียกสามีคือนายหูให้รีบมาช่วย แต่ไม่ว่าจะพยายามไล่งูอย่างไรก็ไม่เป็นผล งูยังคงขดตัวนิ่งอยู่แบบนั้น
จนกระทั่งนายหูฉุกใจคิดว่านี่คงไม่ใช่งูธรรมดา จึงอธิษฐานขอให้งูไม่ทำร้ายลูกของตน งูจึงคลายวงรัดออกและเลื้อยหายเข้าไปในป่า นายหูและนางจันทร์จึงรีบเข้าไปดูลูกน้อย ก็พบว่าเด็กชายปูยังหลับสบายปลอดภัยดี แต่มีเมือกแก้วที่งูคายไว้อยู่บนตัว ซึ่งต่อมาเมือกแก้วนั้นก็แข็งตัวกลายเป็นแก้วแวววาวอย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อเศรษฐีปานทราบเรื่องก็เกิดความอยากได้แก้วนั้น จึงบีบบังคับเอามาเป็นของตน แม้จะไม่เต็มใจแต่นายหูและนางจันทร์ก็ต้องยกให้เพราะตนเองเป็นทาสในเรือนเบี้ย แต่เมื่อได้มาแล้วกลับเกิดอาเพศในครอบครัวของเศรษฐีปานไม่หยุดหย่อน ทั้งคนในเรือนเจ็บป่วย มีเหตุเภทภัย อีกทั้งฐานะก็ยากจนลงเรื่อยๆ ราวกับว่าแก้วนี้เป็นของคู่บารมีเด็กชายปู ไม่ใช่ของเศรษฐีปาน สุดท้ายแล้วเศรษฐีปานจึงตัดใจยกลูกแก้วคืนให้ พร้อมกับยกหนี้ให้แก่นายหูและนางจันทร์ ทั้งสองจึงพ้นจากการเป็นทาส และต่อมาก็เจริญรุ่งเรืองมีฐานะดีขึ้น ส่วนเศรษฐีปานก็กลับมามีมีฐานะดีขึ้นดังเดิม
เมื่อท่านมีอายุครบ 7 ขวบ บิดามารดาก็นำท่านไปฝากไว้เป็นศิษย์วัดเพื่อเล่าเรียนหนังสือที่วัดกุฎีหลวง (หรือวัดดีหลวงในปัจจุบัน) ซึ่งมีท่านสมภารจวง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ เด็กชายปูเป็นเด็กฉลาดมีไหวพริบดีเยี่ยม สามารถเรียนภาษาไทยและภาษาขอมได้รวดเร็ว จนกระทั่งอายุครบ 15 ปีสมภารจวงก็บวชให้ท่านเป็นสามเณร และโยมบิดาของท่านก็ได้ถวายแก้วคืนให้เพื่อเป็นของคู่บารมีประจำกายของสามเณรต่อไป
ที่มา horoscope.trueid.net